Электронная библиотека » Morgan Rice » » онлайн чтение - страница 3

Текст книги "ความรัก"


  • Текст добавлен: 11 апреля 2017, 14:20


Автор книги: Morgan Rice


Жанр: Любовное фэнтези, Фэнтези


Возрастные ограничения: +12

сообщить о неприемлемом содержимом

Текущая страница: 3 (всего у книги 11 страниц) [доступный отрывок для чтения: 3 страниц]

Шрифт:
- 100% +

บทที่ห้า

แซมตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวอย่างรุนแรง เขาลืมตาข้างเดียว และเพิ่งรู้ตัวว่าเขานอนสลบอยู่ในกองฟางบนพื้นของโรงนา บรรยากาศช่างหนาวเย็น ไม่มีเพื่อนคนไหนของเขาคิดจะก่อกองไฟตอนกลางคืน พวกเขาทั้งหมดนอนไม่รู้สึกตัว

แย่ไปกว่านั้น ภายในห้องยังคงหมุนเคว้ง แซมยกหัวลุกขึ้นนั่ง ดึงเศษฟางออกจากปาก เขารู้สึกปวดขมับอย่างรุนแรง เขานอนหลับไปในท่าประหลาด และคอของเขาก็เจ็บเช่นกัน เขาบิดคอไปมา ขยี้ตามอง พยายามเอาใยแมงมุมออกไป แต่ไม่สามารถเอาออกได้ง่าย ๆ เมื่อคืนเขาดื่มมากเกินไป เขานึกถึงบ้องกัญชา การดื่มเบียร์ ตามด้วยเหล้าเซาท์เทิร์นคอมฟอร์ต แล้วก็เบียร์อีกหลายแก้ว เขาอ้วกออกมา จากนั้นเขาเสพยาเพื่อทุเลาทุกอย่าง เขาไม่รู้ว่าเมื่อคืนเขาสลบไปตอนไหน เมื่อไรหรือที่ไหน เขาจำไม่ได้เลยจริง ๆ

แซมรู้สึกหิวและคลื่นไส้ในเวลาเดียวกัน เขาสามารถกินแพนเค้กได้หลายถาดและไข่เป็นสิบใบ แต่เขารู้สึกเหมือนจะอ้วกออกมาถ้าเขาได้กิน ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนจะอ้วกอีกครั้ง

เขาพยายามจะปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดก่อนหน้านี้ เขานึกถึงเคทลิน เขาไม่สามารถลืมได้ การปรากฏตัวของเธอที่นี่ทำให้เขาหัวเสีย เธอล้มจิมโบ้ สุนัข นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทั้งหมดเกิดขึ้นจริงเหรอ?

แซมมองออกไป เขาเห็นรูด้านข้างของกำแพงที่สุนัขกระเด็นลอยออกไป เขาสัมผัสได้ถึงอากาศเย็นที่ลอดผ่านเข้ามา และรู้ได้ทันทีว่านั่นคือเรื่องจริง เขาไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ผู้ชายคนที่เธออยู่ด้วยคือใคร? ผู้ชายที่เหมือนไลน์แบคเกอร์ของอเมริกันฟุตบอลเอ็นเอฟแอล แต่ผิวของเขาดูซีดสุด ๆ เหมือนออกมาจากเดอะแมทริกซ์ แซมไม่สามารถบอกได้ว่าเขาอายุเท่าไร ที่น่าแปลกคือแซมรู้สึกเหมือนเคยรู้จักเขาจากที่ไหนสักแห่ง

แซมมองดูรอบ ๆ เพื่อนทั้งหมดของเขานอนสลบเหมือดอยู่ในท่าทางต่าง ๆ พวกเขาส่วนมากกำลังนอนกรน เขาหยิบนาฬิกาขึ้นมาจากพื้น และเห็นว่าตอนนี้ 11 โมงเช้าแล้ว เพื่อนของเขาคงนอนต่อไปอีกสักพัก

แซมคว้าขวดน้ำมาเพื่อที่จะดื่ม เขามองลงไปและเห็นว่ามีก้นบุหรี่อยู่ในน้ำ เขารู้สึกขยะแขยงทันทีจึงวางขวดน้ำลง และมองหาขวดอื่น จากหางตาเขามองเห็นเหยือกน้ำบนพื้นที่มีน้ำอยู่ครึ่ง เขาคว้ามาและดื่มทันที เขาดื่มไปเรื่อย ๆ จนเกือบหมด

คอที่แห้งผากของเขาค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย เขาสูดหายใจลึก และใช้มือกุมขมับข้างหนึ่ง ห้องยังคงหมุนอยู่ ที่นี่กลิ่นเหม็นมาก เขาต้องการออกไป

แซมเดินข้ามห้องและเลื่อนบานประตูโรงนาออก อากาศยามเช้าที่เย็นสดชื่นทำให้เขารู้สึกดี มันเป็นวันที่ร่มรื่น แสงแดดสว่างจ้าทำให้เขาต้องหรี่ตามอง แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนัก หิมะตกลงมาอีกครั้ง เยี่ยมจริง ๆ หิมะตกมากขึ้นเรื่อย ๆ

แซมเคยชอบหิมะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่หิมะตก เขาสามารถอยู่บ้านโดยไม่ต้องไปโรงเรียน เขาและเคทลินมักจะขึ้นไปบนเขาเพื่อเล่นเลื่อนหิมะกันครึ่งค่อนวัน

แต่ตอนนี้ส่วนใหญ่เขามักจะโดดเรียน มันจึงไม่ต่างกัน ตอนนี้ก็แค่เรื่องไม่เป็นเรื่อง

แซมเอื้อมมือไปในกระเป๋าเสื้อและหยิบมวนบุหรี่ออกมา เขาใส่เข้าไปในปากและจุดไฟ

เขารู้ว่าเขาไม่ควรสูบบุหรี่ แต่เพื่อนของเขาสูบกันหมด และพวกเขามักจะคะยั้นคะยอให้เขาสูบ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจลอง เขาเพิ่งเริ่มสูบเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่าน ตอนนี้เขาคิดว่าเขาชอบมัน เขาไอมากขึ้น และเจ็บหน้าอก แต่เขาคิดว่าแล้วยังไง? เขารู้ว่าบุหรี่ฆ่าเขาได้ และเขาไม่คิดว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้นาน จิตใต้สำนึกของเขาไม่เคยคิดเลย เขาไม่เคยเชื่อว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ถึงจนอายุ 20 ปี

ตอนนี้สมองของเขาเริ่มโล่ง เขาคิดถึงเรื่องเมื่อวานอีกครั้ง เคทลิน เขารู้สึกแย่มาก เขารักเธอ เขารักพี่สาวของเขา เธอเดินทางมาเพื่อพบเขา ทำไมเธอถึงถามเกี่ยวกับพ่อ? เขาคิดไปเองหรือเปล่า?

เขาแทบจะไม่เชื่อว่าเธออยู่ที่นั่นด้วยซ้ำ เขาสงสัยว่าถ้าแม่รู้ แม่จะคลั่งขนาดไหนที่เธอจากมา แม่ต้องโมโหมากแน่ ๆ เขาพนันได้เลยว่าตอนนี้แม่กำลังประสาทเสียอยู่ บางทีอาจจะออกตามหาพวกเขาทั้งสองคน หรือบางทีแม่อาจจะไม่ทำอย่างนั้นก็ได้ แต่ใครสนล่ะ? แม่ย้ายบ้านมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว

แต่เคทลินแตกต่างออกไป เขาไม่ควรทำกับเธอแบบนั้น เขาควรทำดีกับเธอให้มากกว่านี้ ตอนนั้นเขาเพียงแค่เมาเกินไป เขารู้สึกแย่ เขาอยากย้อนเวลากลับไปให้ทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เธอคือสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดกับคำว่าเหมือนเดิม

เธอกลับมาทำไม? เธอย้ายกลับมาที่โอ๊กวิลล์เหรอ? ถ้าใช่ก็คงเยี่ยมมาก บางทีพวกเขาควรหาที่อยู่ด้วยกัน ใช่แล้ว ยิ่งแซมคิดมากเท่าไร เขาก็ยิ่งชอบความคิดนั้น เขาต้องการคุยกับเธอ

แซมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและเห็นไฟสีแดงกระพริบอยู่ เขากดไอคอนเฟซบุ๊กที่มีข้อความใหม่จากเคทลิน เธออยู่ที่โรงนาหลังเก่า

เยี่ยม เขาจะไปหาเธอที่นั่น

*

แซมจอดรถและเดินข้ามที่โล่งไปยังโรงนาเก่า เมื่อพูดว่า “โรงนาเก่า” เขาและเคทลินรู้ว่ามันหมายถึงอะไร สถานที่ที่พวกเขามักจะมาในตอนที่ยังอยู่โอ๊กวิลล์ พื้นที่โล่งที่มีบ้านติดป้ายประกาศขายมานานหลายปี บ้านหลังนั้นตั้งอยู่อย่างว่างเปล่า ราคาอาจแพงเกินไปจึงไม่เคยมีใครสนใจ

และข้างหลังมีโรงนาตั้งอยู่ แซมค้นพบที่นี่และพาเคทลินมาดู ทั้งคู่ไม่เห็นว่าจะเป็นอันตรายหากออกมาเที่ยวบริเวณนี้ แซมและเคทลินเกลียดรถบ้านขนาดเล็กที่พวกเขาอาศัยอยู่กับแม่ คืนหนึ่งพวกเขาอยู่กันจนดึก พูดคุยกัน ปิ้งมาร์ชเมลโล่ในเตาไฟ และเผลอหลับไป หลังจากนั้นพวกเขาก็มาที่นี่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะเมื่อมีเรื่องแย่ ๆ ที่บ้าน อย่างน้อยพวกเขาก็มีที่พักพิง หลังจากนั้นไม่กี่เดือน พวกเขาเริ่มรู้สึกว่ามันคือสถานที่ของพวกเขา

แซมเดินข้ามที่โล่ง เฝ้าหวังว่าจะได้เจอเคทลิน ตอนนี้สมองของเขาปลอดโปร่ง โดยเฉพาะหลังจากที่เขาได้กินกาแฟและดังกิ้นโดนัทในรถระหว่างทาง เขารู้ว่าอายุ 15 ปี ไม่ควรขับรถ แต่กว่าเขาได้ใบขับขี่ตั้งอีกสองสามปี และเขาไม่อยากรอ ในเมื่อเขาไม่เคยขับรถตกทาง และเขารู้วิธีการขับรถ แล้วจะรอทำไม? เพื่อนของเขาให้เขายืมรถกระบะ และนั่นเพียงพอแล้วสำหรับเขา

เมื่อแซมเข้าใกล้โรงนา เขานึกสงสัยขึ้นมาว่าผู้ชายตัวโตคนนั้นจะอยู่กับเคทลินหรือเปล่า มันมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้น…เขาอธิบายไม่ถูก เขาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าทำไมเขามากับเคทลิน พวกเขากำลังคบกันเหรอ? เคทลินมักจะบอกเขาทุกเรื่อง ทำไมเขาจะไม่เคยได้ยินเรื่องของผู้ชายคนนี้มาก่อน?

แล้วทำไมเคทลินถามถึงพ่อ? แซมโกรธตัวเอง เพราะจริง ๆ แล้วเขามีข่าวที่ต้องการบอกเธอ เมื่อวันก่อนเขาก็ได้การตอบรับคำขอเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊ก นั่นคือพ่อของพวกเขาจริง ๆ พ่อบอกว่าเขาคิดถึง และต้องการพบพวกเขา หลังจากหลายปี ในที่สุดแซมก็ได้รับการตอบกลับ เขาเริ่มคุยกับพ่ออีกครั้ง และพ่อต้องการพบพวกเขาทั้งคู่ ทำไมแซมไม่บอกเธอ? แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถบอกเธอได้ตอนนี้

แซมเดินไปบนหิมะที่ถูกบดละเอียดอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา หิมะยังคงตกลงมา เขาเพิ่มความเร็วมากขึ้น เขาเริ่มมีความสุขอีกครั้ง การได้อยู่กับเคทลินอาจทำให้หลาย ๆ อย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม บางทีการปรากฏตัวของเธออาจเป็นเวลาที่ถูกต้อง เมื่อเขาทำตัวเหลวแหลก เธอช่วยทำให้เขาหลุดพ้น เธอมักจะทำแบบนั้น บางทีนี่คือโอกาสของเขา

ในขณะที่เขาเอื้อมมือไปหยิบบุหรี่อีกมวน เขาหยุดตัวเอง บางทีเขาควรจะเลิก

แซมขยำซองบุหรี่และโยนลงบนหญ้า เขาไม่ต้องการอีกแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องพึ่งมัน

เขาเปิดประตูโรงนา พร้อมที่จะทำให้เคทลินแปลกใจและกอดเธอ เขาจะบอกเธอว่าเขาเสียใจ เธอก็จะพูดเสียใจเช่นกัน และทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง

แต่โรงนาว่างเปล่า

“สวัสดี?” แซมตะโกน แม้ว่าเขาจะทำอย่างนั้น ยังคงไร้เสียงตอบ

เขามองเห็นกองไฟมอดอยู่ในเตาไฟ เพิ่งดับไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว แต่ไม่มีวี่แววอะไรเลย หรือสิ่งใดที่แสดงให้เห็นว่าเธอยังคงอยู่ที่นี่ เธอจากไปแล้ว บางทีเธออาจจะไปกับผู้ชายคนนั้น ทำไมเธอไม่รอ? ให้โอกาสเขา? เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง?

แซมรู้สึกราวกับมีแรงชกอันหนักหน่วงปะทะเข้าที่ท้อง พี่สาวของเขาไม่แม้แต่จะสนใจเขาเลย

เขานั่งลงบนกองฟาง กุมขมับด้วยมือของเขา อาการปวดหัวกำลังจะกลับมา เธอทำจริง ๆ เธอจากไปแล้ว เธอจะไม่กลับมาแล้วเหรอ? ลึกลงไปเขารู้สึกว่าเธอต้องทำเช่นนั้น

ในที่สุดแซมก็สูดหายใจลึก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

เขารู้สึกว่าเขาจะต้องเข้มแข็ง เขาต้องอยู่เพียงลำพัง เขารู้ว่าจะต้องรับมืออย่างไร เขาไม่ต้องการใครอีกแล้ว

“สวัสดี”

เสียงของผู้หญิงที่ไพเราะนุ่มนวลดังขึ้น

แซมหันไป วินาทีนั้นเขาคาดหวังให้เป็นเคทลิน แต่เขารู้ดีว่าไม่ใช่เมื่อได้ยินอีกครั้ง มันคือเสียงที่ไพเราะมากที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยิน

เด็กผู้หญิงยืนอยู่ตรงทางเข้าโรงนา เอนตัวพิงกำแพงด้วยท่าทางแบบสบาย ๆ เธอดูดีมาก ๆ ผมสีแดงยาวสลวย ดวงตาสีเขียวสว่าง รูปร่างที่สมบูรณ์แบบ และเธอดูเหมือนจะอายุเท่ากับเขา บางทีอาจจะอายุมากกว่าไม่กี่ปี เธอกำลังสูบบุหรี่

แซมยืนขึ้น

เขาแทบจะไม่เชื่อ แต่แววตาที่เธอมองมา ดูเหมือนเธอกำลังสนใจเขา เขาไม่เคยเห็นเด็กผู้หญิงคนไหนมองเขาแบบนี้มาก่อน เขาทึ่งในความโชคดีของตัวเอง

“ฉันชื่อซาแมนต้า” เธอพูดอย่างอ่อนหวาน ก้าวมาข้างหน้าและยื่นมือข้างหนึ่ง

แซมก้าวไปข้างหน้า และยื่นมือออกไปประกบกัน ผิวของเธอนุ่มมาก

เขากำลังฝันอยู่เหรอ? เด็กผู้หญิงคนนี้มาทำอะไรที่นี่ โผล่มาจากไหน? เธอมาที่นี่ได้อย่างไร? เขาไม่ได้ยินเสียงรถจอดเลย หรือได้ยินเสียงใครเดินมาที่โรงนา และเขาเพิ่งมาที่นี่ เขาไม่เข้าใจ

“ฉันชื่อแซม” เขาพูด

เธอยิ้มกว้าง เผยให้เห็นฟันสีขาวที่เรียงตัวกันอย่างสมบูรณ์แบบ รอยยิ้มของเธอช่างเหลือเชื่อ แซมรู้สึกเหมือนเข่าอ่อนในขณะที่เธอมองมา

“แซม ซาแมนต้า” เธอพูด “คล้องจองกันเลย ฉันชอบนะ”

เขาจ้องกลับไป พูดอะไรไม่ออก

“ฉันเห็นเธออยู่ข้างนอกและคิดว่าเธอต้องหนาวแน่ ๆ” เธอพูด “อยากเข้ามามั้ย?”

แซมพยายามคิด แต่คิดไม่ออกว่าเธอหมายถึงอะไร

“เข้ามา?”

“บ้าน” เธอพูดพร้อมยิ้มกว้างขึ้น ราวกับว่าสิ่งนั้นชัดเจนที่สุดในโลกนี้ “เธอก็รู้ บ้านมีกำแพงและหน้าต่าง”

แซมพยายามรวบรวมความคิดว่าเธอกำลังพูดถึงอะไร เชิญเขาเข้าไปในบ้าน? บ้านหลังที่ประกาศขาย? ทำไมเธอชวนเขาเข้าไป?

“ฉันเพิ่งซื้อน่ะ” เธอพูดราวกับเป็นการตอบความคิดของเขา “ฉันยังไม่ได้เอาป้ายประกาศขายออกเลย” เธอพูดต่อ

แซมรู้สึกตกใจ “เธอซื้อบ้านหลังนั้นเหรอ?”

เธอยักไหล่ “ฉันต้องอาศัยอยู่ที่ไหนสักแห่ง ฉันจะเข้าโรงเรียนมัธยมโอ๊กวิลล์ ฉันต้องเรียนปีสุดท้าย”

ว้าว นั่นคือคำอธิบาย

เธออยู่ที่โอ๊กวิลล์ และเรียนปีสุดท้าย บางทีเขาควรจะกลับไปโรงเรียนเหมือนกัน ให้ตายสิ ถ้าเธออยู่ที่นั่น ทำไมเขาจะไม่กลับไปล่ะ?

“โอเค ยังไงก็ได้” เขาพูด พยามให้เป็นกันเองมากที่สุด “อยากเข้าไปดูเหมือนกัน”

ทั้งคู่เดินไปด้วยกัน ย้อนกลับไปยังบ้าน ในขณะที่เขาเดินผ่านซองบุหรี่ที่ทิ้งเอาไว้ เขาเอื้อมมือลงไปและหยิบขึ้นมา เคทลินไม่อยู่แล้ว ใครจะสน?

“ถ้างั้น เธอเพิ่งย้ายมาที่นี่เหรอ?” แซมถาม

เขารู้ว่ามันเป็นคำถามงี่เง่า เธอเพิ่งบอกเขาไปเรียบร้อยแล้วว่าเธอเพิ่งย้ายมา แต่เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เขาคุยไม่เก่ง

เธอเพียงแค่ยิ้ม “อะไรประมาณนั้น”

“ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ?” เขาถามต่อ “ฉันหมายถึง ไม่ได้ว่านะ แต่เมืองนี้มันห่วย”

“เรื่องมันยาว” เธอพูดอย่างลึกลับ

บางอย่างสะกิดใจเขา

“เอ่อ เดี๋ยวก่อนนะ เธอเพิ่งบอกว่า เธอซื้อบ้านหลังนั้น? เธอหมายถึงเธอ? ไม่ได้หมายถึงพ่อแม่ของเธอเหรอ?”

“เปล่า ฉันหมายถึงตัวฉันเอง บ้านเป็นของฉัน” เธอตอบ “ฉันซื้อด้วยตัวของฉันเอง”

เขายังคงไม่เข้าใจ เขาไม่ต้องการพูดเหมือนคนหน้าโง่ แต่เขาต้องการรู้

“อย่างงั้น เอ่อ บ้านนี้มีแค่เธอเหรอ? แบบว่า พ่อแม่ของเธอ…”

“พ่อแม่ของฉันตายแล้ว” เธอพูด “ฉันซื้อบ้านด้วยตัวของฉันเอง ตอนนี้ฉันอายุ 18 ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้ว ฉันสามารถทำอะไรก็ได้ที่ฉันต้องการ”

“สุดยอด” แซมพูด รู้สึกประทับใจจริง ๆ “เจ๋งมากเลย บ้านทั้งหลังเป็นของเธอคนเดียว ฉันหมายถึง ฉันเสียใจเกี่ยวกับพ่อแม่ของเธอ แต่ฉัน…ฉันไม่เคยรู้จักใครที่ได้เป็นเจ้าของบ้านในขณะที่อายุประมาณนี้”

เธอมองเขาและยิ้มออกมา “เธอจะเจอเรื่องประหลาดใจเกี่ยวกับฉันอีกมากมายเลยล่ะ”

เธอเปิดประตูและมองเขาเดินเข้ามา แซมเดินเข้าไปในบ้านอย่างตื่นเต้น

เขาถูกชักนำได้อย่างง่ายดาย

ซาแมนต้าเลียริมฝีปาก รู้สึกถึงความหิวโหยที่กำลังก่อตัวขึ้นในฟันหน้าของเธอ

นี่มันง่ายกว่าที่เธอคิดเอาไว้มาก

บทที่หก

คาเลปและเคทลินยืนอยู่ริมแม่น้ำ จับจ้องสายตาซึ่งกันและกัน เคทลินใจสั่นในขณะที่กังวลว่าเขากำลังจะบอกลา

แต่แล้วคาเลปก็สะดุดตากับบางอย่าง สายตาของเขาเปลี่ยนไปทันที เขามองไปที่คอของเธอ ดูเหมือนเขาตกตะลึงกับบางอย่าง

เขาเอื้อมมือออกมา นิ้วของเขาสัมผัสไปตามต้นคอของเธอ สร้อยคอโลหะของเธอ เธอลืมไปแล้วว่าเธอใส่อยู่

เขายกขึ้นมาและจ้องมอง

“สิ่งนี้คืออะไร?” เขาถามอย่างอ่อนโยน

เคทลินเอื้อมมือขึ้นและวางลงบนมือของคาเลป มันคือกางเขนของเธอ กางเขนเงินเส้นเล็ก

“ก็แค่กางเขนเก่า ๆ อันนึง” เธอตอบ

ก่อนที่เธอจะพูดจบ เธอนึกขึ้นได้ว่ามันคือของเก่าแก่ ที่อยู่ในครอบครัวของเธอมานานหลายรุ่น เธอจำไม่ได้ว่าใครเป็นคนมอบให้เธอหรือเมื่อไร แต่เธอรู้ว่ากางเขนนี้เป็นของโบราณ และเคยเป็นของพ่อ ใช่แล้วมันคือสิ่งที่อาจจะกลายเป็นเบาะแส

เขาตรวจสอบกางเขนอย่างตั้งใจ

“มันไม่ใช่กางเขนธรรมดา” เขาพูด “ขอบของมันโค้ง ข้าไม่เคยเห็นกางเขนเช่นนี้มาก่อนในรอบหลายพันปี มันคือกางเขนของเซนต์ปีเตอร์” เขาจ้องมองเหมือนถูกสะกดจิต “เจ้าได้กางเขนนี้มาอย่างไร?”

“ฉัน…สวมไว้ตลอด” เธอพูดกระหืดกระหอบ ความตื่นเต้นของเธอเพิ่มขึ้น

“นี่คือเครื่องหมายของกลุ่มเก่าแก่ เครื่องหมายของเยรูซาเลม กลุ่มลึกลับ หนึ่งในกลุ่มที่ทรงพลังมากที่สุด เคยมีข่าวลือว่ากลุ่มนี้ไม่มีอยู่จริง เจ้าครอบครองสิ่งนี้ได้อย่างไร?”

หัวใจของเธอเต้นรัว “ฉัน…ฉันไม่รู้ ฉันถูกบอกมาว่ามันเป็นของพ่อ ฉัน…ไม่เคยสนใจมันมาก่อน”

เขาค่อย ๆ กลับด้านกางเขน มองดูด้านหลัง ดวงตาของเขาเบิกกว้าง

“มันมีข้อความจารึก”

เธอพยักหน้า ทันใดนั้นเธอจดจำขึ้นมาได้ ใช่แล้ว ด้านหลังมีข้อความจารึก เขียนไว้ว่าไงนะ?

“ข้อความภาษากรีกมั้ง ฉันคิดว่านะ” เธอพูด

“ลาติน” เขาแก้คำพูด “Spina rosam et congregari Salem” เขาพูดและมองมาที่เธอ ราวกับคาดหวังว่าเธอจะเข้าใจ

เธอไม่รู้ เธอไม่เคยรู้

“มันบอกว่า กุหลาบและหนามจักพบกันในซาเลม

เขามองมาที่เธอ เธอจ้องมองกลับไป

หัวใจของเธอเต้นรัว สงสัยว่ามันหมายถึงอะไร ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยจุดหมายใหม่ที่เพิ่งถูกค้นพบ

“นี่เป็นของพ่อเจ้า ต้องใช่แน่ ๆ ข้อความจารึกคือปริศนาแวมไพร์อันเก่าแก่ เขากำลังบอกว่าเจ้าจะพบเขาได้อย่างไร เขากำลังบอกเราว่าต้องไปที่ไหนต่อ”

เธอมองกลับมา “ซาเลมเหรอ?”

เขาพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

เคเลปวางมือบนไหล่ของเคทลิน “ข้าเป็นห่วงเจ้ามาก ข้าไม่ต้องการเห็นเจ้าต้องเจ็บปวด นี่คือสงครามของข้า ข้าไม่ต้องการดึงเจ้าเข้ามาข้องเกี่ยว เรื่องนี้อันตรายมาก และเจ้าไม่ใช่แวมไพร์เต็มตัว เจ้าอาจจะบาดเจ็บได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องตามข้ามา โดยเฉพาะตอนนี้ ข้ารู้แล้วว่าต้องไปที่ไหน เจ้าได้ช่วยเหลือข้าเกินกว่าที่ข้าจะสามารถขอบคุณเจ้า”

เคทลินรู้สึกใจหาย เขาไม่ต้องการให้เธออยู่ใกล้ ๆ เหรอ? หรือเขาพยายามปกป้องเธอ? เธอรู้สึกเหมือนว่าจะเป็นอย่างหลัง

“ฉันรู้ว่าฉันมีทางเลือก” เธอพูด “แต่ฉันเลือกที่จะอยู่กับคุณ”

เขาจ้องมองเธอเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็พยักหน้า “ตกลง” เขาพูด

“อีกอย่าง” เธอพูดพร้อมยิ้ม “ฉันไม่สามารถปล่อยคุณให้ไปพบครอบครัวของฉันตามลำพัง”

บทที่เจ็ด

ไคล์เดินอย่างว้าวุ่นใจลงไปตามถนนที่ปูด้วยหินของท่าเรือเซาท์สตรีท เขารีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เขาวาดฝันถึงช่วงเวลานี้มานานหลายปีแล้ว

เขาเลี้ยวที่หัวมุม และจากตรงนี้เขาเริ่มมองเห็นแล้ว เรือของเขา

การแฝงตัวในรูปแบบของเรือกำปั่นโบราณที่มาจากประเทศแถบยุโรป เพื่อจอดเทียบท่าเรือเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ พวกมนุษย์ช่างโง่เขลาเสียจริง พวกเขาเชื่อแทบทุกอย่าง ไว้ใจมากเกินไป พวกเขาไม่คิดแม้แต่จะตรวจสอบเรือลำเก่านี้ ม้าโทรจันที่กำลังนำพาความตายมาสู่พวกมนุษย์

ยิ่งดูโง่มากยิ่งขึ้น เมื่อนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งยืนอยู่รอบเรือ พวกเขารู้สึกมีความสุขที่ได้เห็นเรือลำเก่านี้ ถ้าพวกเขารู้ความจริงล่ะก็

ไคล์ยกศอกขึ้นกรุยเส้นทางผ่านฝูงชน และมุ่งหน้าลงไปยังตรอก ชายร่างยักษ์สี่คนยืนรักษาความปลอดภัยอยู่ แต่เมื่อพวกเขามองเห็นไคล์ ทั้งหมดต่างพยักหน้ากันและหลีกทางให้อย่างรวดเร็ว สมาชิกทุกคนในเผ่าพันธุ์ของเขาแต่งกายในชุดดำและสูงเกือบเท่าเขา ไคล์สามารถรู้สึกได้ถึงความโกรธแค้นที่แผ่ออกมาจากตัวของพวกเขา มันทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย การอยู่ใกล้กับพวกเดียวกันมักจะรู้สึกดีกว่าเสมอ

พวกเขาหลีกทางให้อย่างเคารพ เมื่อไคล์เดินผ่านเข้าไป พวกเขาปิดตรอกทางเข้าอีกครั้ง

ไคล์เดินไปด้านหลังของเรือ ที่ซึ่งถูกซ่อนเอาไว้จากสายตาของผู้อื่น คนของเขาส่วนหนึ่งยืนอยู่ และเมื่อพวกเขาเห็นไคล์เข้ามาใกล้ พวกเขาเริ่มลงมือทันที ทางลาดขนาดใหญ่ด้านข้างของตัวเรือถูกลดระดับลง และกล่องขนาดใหญ่ที่บรรจุอยู่ในลังไม้อัดถูกส่งออกมา ชายนับสิบคนค่อย ๆ เคลื่อนกล่องขนาดใหญ่ลงมาที่ทางเดิน ไคล์เข้ามาตรวจสอบ

“นายท่าน” แวมไพร์หัวล้านตัวเตี้ยพูดกับไคล์ วิ่งเข้ามาและโค้งคำนับ

ชายคนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ แลดูเหมือนเขากำลังกลุ้มใจ สายตาของเขามองไปทั่วทุกที่ เขากำลังมองหาตำรวจอยู่อย่างแน่นอน เขาคงรออยู่นานแล้ว เยี่ยมมาก ไคล์ชอบทำให้คนอื่นรอ

“ทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้ว” ชายคนนั้นพูดต่ออย่างเร่งรีบ “เราได้ทำการตรวจสอบหลายครั้ง ทั้งหมดปลอดภัย ไม่มีรอยขีดข่วนเลยนายท่าน”

“ข้าต้องการเห็นของ” ไคล์พูด

ชายคนนี้ชี้นิ้ว จากนั้นผู้ชายอีกสี่คนวิ่งเข้ามา พวกเขาใช้ชะแลงงัดกล่อง เอาไม้กระดานออกไปหนึ่งแผ่น พวกเขาฉีกพลาสติกออกหลายชั้น

ในที่สุด ไคล์เดินเข้ามาและเอื้อมมือลงไป เขาสัมผัสกับขวดแก้วเย็น ๆ และเอาหยิบออกมา

เขาชูขึ้นและตรวจสอบวัตถุนั้นภายใต้แสงของตะเกียงบนถนน

เขาจดจำสิ่งนี้ได้ จุลินทรีย์กาฬโรคที่กำลังเบียดเสียดอยู่มือของเขา มันยังคงสภาพได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาค่อย ๆ ยิ้มออกมา

ตอนนี้เขาสามารถเริ่มต้นสงครามได้แล้ว

*

ไคล์ไม่รอช้า ภายในไม่กี่ชั่วโมง เขาเดินทางมาถึงสถานีเพนน์ พร้อมที่จะเริ่มดำเนินการ เขาเดินผ่านสถานีเข้าไปในฝูงชน อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่าน เขาเดินเข้าสู่ฝูงชนในเวลาชั่วโมงเร่งด่วน ทุกคนต่างเร่งรีบกลับบ้านเพื่อไปหาครอบครัวกระจ้อยร่อยอันน่าสมเพชของพวกเขา บ้าน สามีและภรรยา ความเกลียดชังของไคล์ปะทุขึ้นมา

สิ่งที่เขาเกลียดยิ่งกว่ามนุษย์คือปริมาณคนจำนวนมหาศาล ที่เดินขวักไขว่ไปมาทุกทิศทางเหมือนชีวิตของพวกเขามีความสำคัญ ราวกับว่าช่วงอายุเพียงแค่ 100 ปีบนโลกใบนี้ของพวกเขาได้ครอบครองผลลัพธ์ที่จะตามมาทั้งหมด ไคล์มีชีวิตยาวนานกว่าและอยู่รอดเป็นคนสุดท้ายในบรรดามนุษย์ทั้งหมด รุ่นแล้วรุ่นเล่าเป็นเวลานับพันปี แม้แต่มนุษย์ที่ยอดเยี่ยมอย่างซีซาร์และสตาลิน รวมถึง – ฮิตเลอร์ คนที่เขาชอบมากที่สุด – ต่างค่อย ๆ เลือนหายไปในภายในช่วงชีวิตไม่กี่ร้อยปีของพวกเขา พวกเขาเป็นได้แค่บางอย่างในช่วงเวลาหนึ่ง แต่หลังจากนั้นไม่นานก็จะไม่เหลืออะไร การเคลื่อนไหวที่รุนแรงของพวกเขา ความรู้สึกสำคัญตัวของพวกเขา ทำให้ไคล์รู้สึกรำคาญจากก้นบึ้งของหัวใจ เขารู้สึกอยากจะฆ่าพวกมนุษย์ทุกคนเสียตอนนี้ และเขาจะทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน

แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้

ไคล์มีงานสำคัญต้องทำ งานที่สำคัญอย่างแท้จริง เขาถูกขนาบข้างด้วยแวมไพร์ท่าทางนักเลงป่าเถื่อนแปดคน ทั้งหมดกำลังเดินเข้าไปในฝูงชนโดยรวดเร็วที่สุด แต่ละคนถือกระเป๋าหนึ่งใบ กระเป๋าแต่ละใบบรรจุขวดแก้วเชื้อโรคจำนวน 300 ขวด พวกเขาจะแยกออกเป็นสี่ทีม แต่ละทีมเปรียบเสมือนทหารม้า ซึ่งจะทำการแพร่กระจายความตายในแต่ละหัวมุมของสถานี หนึ่งทีมจะครอบคลุมพื้นที่ของสถานี หนึ่งทีมไปยังแกรนด์เซ็นทรัล หนึ่งทีมไปยังเส้นทางรถไฟใต้ดินสาย A, C หรือ E และอีกหนึ่งทีมไปยังเส้นทางรถไฟสาย 1 หรือ 9 ไคล์เก็บสถานที่ที่ดีที่สุดเอาไว้สำหรับตัวเขาเอง เส้นทางรถไฟของแอ็มแทร็ก เขายิ้มกับตัวเองเมื่อคิดว่าตัวยาของเขาจะแพร่กระจายไปได้ไกลกว่าและกว้างขวางกว่า บางทีเขาอาจสามารถจัดการเมืองอื่น ๆ ได้ด้วย

ไคล์ยังมีลูกสมุนแวมไพร์อื่น ๆ ที่ทำงานอยู่เช่นกัน ทั้งในสถานีรถไฟใต้ดินทั่วทั้งเมือง แกรนด์เซ็นทรัล และไทม์สแควร์

ไคล์พยักหน้า ทีมของเขากระจายตัวออกไปทันที เขาเดินไปเพียงลำพัง มุ่งหน้าไปยังทางเข้าของถนนสายแปด

เขาลงลิฟท์และเดินไปยังจุดสิ้นสุดของชานชลา จากนั้นเดินผ่านจุดที่ทุกคนกำลังรอรถไฟอยู่ เขากระโดดลงไปบนรางอย่างรวดเร็ว พวกหนูต่างวิ่งหลบ พวกมันสามารถรู้สึกได้ถึงตัวตนของเขา ช่างเป็นเรื่องประหลาดและน่าขันเสียจริง ไคล์คิดในใจ มันคือหนูที่จะเป็นตัวเริ่มต้นในการแพร่กระจายเชื้อโรค ตอนนี้พวกมันวิ่งหนีไปแล้ว

ไคล์เดินเข้าสู่ความมืดมิด เขาลงไปในอุโมงค์ เดินเลียบริมรางรถไฟไปเรื่อย ๆ ในที่สุดเขาก็มาถึงทางแยกที่ทุกเส้นทางมาบรรจบกัน เขาเอื้อมลงไปในกระเป๋าและหยิบขวดแก้วออกมา เขาถือขวดแก้วขึ้นส่องกับแสงไฟฉุกเฉิน เขาแทบจะไม่สามารถเก็บอาการตื่นเต้นนี้ไว้ได้ เขาวางขวดแก้วลง เอื้อมมือทั้งสองข้างเข้าไปและเริ่มดำเนินการ

หลังจากการรอคอยมานานหลายศตวรรษ ตอนนี้เหลืออีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงแล้ว

บทที่แปด

แซมแทบไม่เชื่อว่าเขาจะโชคดีเช่นนี้ สาวสวยกำลังพาเขาเดินชมภายในบ้าน – นักเรียนปีสุดท้าย หรือไม่ก็น้อยกว่านั้น – ดูเหมือนเธอจะชอบเขา เธอช่างสง่างามและหุ่นดีมาก ๆ และเธอยังเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้

เหมือนพระเจ้าทรงเมตตาที่ประทานนางฟ้าลงมาให้เขา เขายังคงไม่เชื่อตัวเอง มันคือสิ่งที่เขาต้องการ เธอเข้ามาในเวลาที่ใช่ เขากลัวว่าชั่วพริบตาความโชคดีของเขาจะหายไป เขากลัวว่าเธอจะเอ่ยปากบอกให้เขากลับบ้าน แต่เธอดูเหมือนไม่ได้เร่งรีบ อันที่จริงเหมือนเธออยากมีเพื่อนอยู่ด้วย และเธอก็ไม่ได้สนใจที่เขาอยู่ในโรงนาของเธอ ดูเหมือนเธอจะชอบใจที่เจอเขาที่นั่นด้วยซ้ำ เขาแทบไม่เชื่อเลยจริง ๆ เขาไม่เคยโชคดีแบบนี้มาก่อนในชีวิต

ในขณะที่เขาเดินไปรอบ ๆ เขาเห็นว่าบ้านของเธอยังคงว่างเปล่า ในตู้เย็นไม่มีอาหาร ไม่มีเฟอร์นิเจอร์มากนัก มีเพียงเก้าอี้วางสะเปะสะปะ และโซฟาขนาดเล็ก นั่นทำให้เขารู้สึกดี เพราะเขาสามารถช่วยเธอได้ เขาสามารถช่วยซ่อมแซม ขนย้ายสิ่งของ ซื้ออาหาร ขุดสวน อะไรก็ตามที่เธอต้องการ มันจะดีมากหากเธออนุญาตให้เขาใช้โรงนาของเธอ และถ้าเธอต้องการให้เขาเข้ามาในบ้าน มันจะยอดเยี่ยมสุด ๆ ที่สำคัญไปกว่านั้น เขารู้สึกชอบเธอ เขากำลังเหงา เขาต้องการอยู่ใกล้กับเธอ

“และนี่คือห้องนั่งเล่น” เธอพูดขณะที่พาเขาเดินไปยังห้องสุดท้าย ในห้องไม่มีอะไรเลย ไม่มีกรอบรูปบนผนัง ไม่มีเศษผ้าบนพื้น – มีเพียงแค่โซฟาสองที่นั่งขนาดเล็กวางอยู่กลางห้อง

“โทษที ยังไม่ค่อยมีอะไร” เธอพูด “ฉันเพิ่งมาที่นี่ เลยไม่อยากขนของเก่ามาด้วย ฉันคิดว่าฉันจะเริ่มต้นใหม่”

แซมยืนนิ่ง พยักหน้า เขาอยากถามคำถามเธอมากมายเหลือเกิน เช่น เธอมาจากที่ไหน? พ่อแม่ของเธอตายยังไง? ทำไมเธอถึงมาที่นี่?

แต่เขาไม่ต้องการเซ้าซี้มากเกินไป เขาจึงยืนเงียบ พยักหน้า เหมือนพวกหน้าโง่

เขารู้สึกประหม่า เขาเคลิบเคลิ้มไปกับเธอ มากกว่าเด็กผู้หญิงคนไหนที่เขาเคยเจอในชีวิต และเขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไร – เขาไม่ไว้ใจคำพูดของตัวเอง เขารู้สึกว่าถ้าเขาพูดอะไรออกไป มันจะต้องผิดพลาดเป็นแน่

“อยากนั่งมั้ย?” เธอถามในขณะที่เธอเดินวนรอบ ๆ และนั่งลงบนโซฟา

อยากนั่งมากเลยล่ะ

เขาพยายามไม่แสดงความตื่นเต้นออกมา พยายามเดินด้วยท่าทางปกติเท่าที่เขาสามารถทำได้ เขาเดินเข้าไปและนั่งลงข้างเธอ เขาสามารถได้กลิ่นน้ำหอมของเธอและรู้สึกว่าเลือดภายในร่างกายของเขากำลังสูบฉีด มันยากมากที่จะคิดอะไรออกในตอนนี้

ซาแมนต้านั่งไขว่ห้าง และหันมามองหน้าแซม เธอนั่งนิ่ง กำลังยิ้ม และมองหน้าของเขา เขาสงสัยนับล้านครั้งแล้วว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความฝันหรือเปล่า หรือเป็นเรื่องที่เพื่อนของเขาจัดฉากแกล้ง

“เอาล่ะ” เธอพูด “เล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟังบ้างสิ”

“เช่นอะไร?” เขาถาม

“เธอเป็นคนที่นี่หรอ?”

แซมคิดว่าจะตอบคำถามนั้นอย่างไรดี มันไม่ใช่คำถามที่ง่าย

“เปล่า ก็ไม่เชิง แต่ฉันสามารถบอกได้ว่าฉันอาศัยอยู่ที่นี่นานกว่าที่อื่น เราย้ายที่อยู่หลายครั้ง ครอบครัวของฉัน ตัวของฉัน พี่สาว และแม่”

“แล้วพ่อของเธอล่ะ?” เธอถามขึ้นทันที

เขายักไหล่

“เขาไม่เคยอยู่ด้วย แม่บอกว่าพ่อย้ายออกไปตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันจำไม่ได้จริง ๆ”

“เธอลองออกตามหาเขาหรือยัง?”

แซมมองเข้าไปในดวงตาของเธอ สงสัยว่าเธออ่านใจของเขาได้เหรอ

“ตลกดีที่เธอถาม” เขาพูด “เพราะว่าฉันลองแล้ว ฉันต้องการรู้มาตลอด แต่ฉันไม่เคยพบอะไรเลย จนกระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว”

ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ แซมรู้สึกตกใจกับท่าทางตื่นเต้นของเธอ เขาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมเธอถึงสนใจนัก?

“จริงเหรอ?” เธอถาม “เขาอยู่ที่ไหน?”

“อืม ฉันก็ไม่รู้หรอก แต่เราพูดคุยกับทางเฟซบุ๊ก พ่อบอกว่าต้องการพบฉัน”

“แล้ว? ทำไมเธอไม่ไปพบเขาล่ะ?”

“ฉันอยากไป เพียงแต่มันเกิดขึ้นเร็วมา ฉันคิดว่าฉันต้องวางแผนก่อน”

“เธอกำลังรออะไรเหรอ?” เธอถามพร้อมยิ้ม

เธอพูดถูก แซมคิด เขากำลังรออะไรอยู่?

“ทำไมเธอไม่ตอบกลับไปล่ะ? วางแผนนัดเจอกัน? เธอก็รู้ถ้าเธอไม่นัดเจอ มันก็ไม่มีทางเกิดขึ้น ถ้าเป็นฉันนะ ฉันจะส่งข้อความไปหาตอนนี้เลย” เธอพูด

แซมสบตากับเธอ และเมื่อเขาทำเช่นนั้น เขารู้สึกว่าความคิดของเขาเปลี่ยนไป ทุกอย่างที่เธอพูดมาสมเหตุสมผลทั้งหมด มันเป็นความรู้สึกที่แปลก ทุกครั้งที่เธอพูดออกมา มันจะกลายเป็นความคิดของเขา เธอพูดถูก เขาไม่ควรจะรอ

เขาเอื้อมมือลงไปในกระเป๋ากางเกง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และเข้าไปในเฟซบุ๊ก

ซาแมนต้าเอนตัวเข้ามา โน้มไหล่ของเธอแนบติดกับเขา และมองดูโทรศัพท์ไปพร้อมกับเขา หัวใจของเขาเริ่มเต้นเร็วขึ้น เขาชอบความที่ไหล่ของเธอสัมผัสกับไหล่ของเขา มันช่างนุ่มนวล และเหมาะเจาะ เขาสามารถได้กลิ่นเส้นผมของเธอ มันหอมมาก เขากำลังถูกเบนความสนใจ เขาลืมไปชั่วขณะว่าเอาโทรศัพท์ออกมาทำไม

หลังจากนั้นแซมเห็นการแจ้งเตือนข้อความใหม่ เขาจึงเปิดดู

ข้อความใหม่ส่งมาจากพ่อ

พ่อส่งมาว่า แซมพ่ออยากพบลูก เราต้องมาเจอกัน พ่อรู้ว่าลูกกำลังยุ่งกับการเรียนและเรื่องอื่น ๆ แต่ลูกพอจะว่างมั้ย? พ่อไม่สะดวกที่จะเดินทาง เพราะขาของพ่อไม่ค่อยดีนัก แต่พ่อสงสัยว่าลูกจะมาหาพ่อที่นี่ได้มั้ย? พ่ออยู่ที่คอนเนตทิคัต

ซาแมนธายิ้ม “นั่นไงล่ะ” เธอพูด

“ฉันควรตอบว่าไงดี?” แซมถาม

“ตอบว่าตกลง พรุ่งนี้วันเสาร์ เป็นวันสุดสัปดาห์ จะมีเวลาไหนดีกว่านี้อีก?”

เธอพูดถูก วันเสาร์เป็นวันที่ดีที่สุด ว้าว ผู้หญิงคนนี้ไม่เพียงแต่สวยเว่อร์ แต่เธอยังฉลาดอีกด้วย

แซมพิมพ์กลับไป ตกลงครับ ฟังดูเข้าท่า สุดสัปดาห์นี้ดีมั้ย? ที่อยู่ของพ่อคือที่ไหน?

เขาลังเลไปชั่วขณะ จากนั้นเขากดส่ง เขารู้สึกดีขึ้นมาก

“ฉันรู้สึกตื่นเต้นแทนเธอจัง” ซาแมนธาพูด พร้อมยิ้มกว้าง “มันเจ๋งมากที่ฉันได้กับพบเธอในช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นแบบนี้”

ทันใดนั้นแซมรู้สึกได้ถึงนิ้วอันอ่อนนุ่มของเธอที่เอื้อมเข้ามาและสัมผัสกับใบหน้าของเขา จากนั้นค่อย ๆ ลูบไล้ไปตามเส้นผมของเขา มันช่างเป็นความรู้สึกที่รุนแรง น่าทึ่งอย่างที่สุด หัวใจของเขากำลังเต้นกระหน่ำ และเขาแทบจะคิดอะไรไม่ออก

เขาหันไปสบตากับเธอ เธอกำลังมองหน้าเขา ตอนนี้มือทั้งสองข้างของเธอกำลังลูบไล้ไปบนใบหน้า แนวต้นคอ และเส้นผมของเขา เขาไม่สามารถละสายตาไปจากดวงตาสีเขียวสว่างกลมโตของเธอได้ เขาแทบจะลืมหายใจ

“ฉันชอบเธอนะ” เธอพูด

แซมอ้าปากเพื่อที่จะพูด แต่แทบจะไม่มีเสียงออกมา เขาต้องพยายามใหม่อีกครั้ง “ฉันก็ชอบเธอเหมือนกัน”

เขารู้ว่าเขาควรโน้มตัวเข้าไปจูบ แต่เขาประหม่าเกินไป เขารู้สึกโล่งใจเมื่อเธอโน้มตัวเข้ามา และประทับริมฝีปากของเธอเข้ากับริมฝีปากของเขา

มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมที่สุด เลือดสูบขึ้นไปทั่วสมองของเขา เขาภาวนาว่าช่วงเวลาเช่นนี้จะไม่สิ้นสุดลง

Внимание! Это не конец книги.

Если начало книги вам понравилось, то полную версию можно приобрести у нашего партнёра - распространителя легального контента. Поддержите автора!

Страницы книги >> Предыдущая | 1 2 3
  • 0 Оценок: 0

Правообладателям!

Данное произведение размещено по согласованию с ООО "ЛитРес" (20% исходного текста). Если размещение книги нарушает чьи-либо права, то сообщите об этом.

Читателям!

Оплатили, но не знаете что делать дальше?


Популярные книги за неделю


Рекомендации